กองทุน SSF คือ กองทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบาล เพื่อส่งเสริมการออมเงินระยะยาวของประชาชน ด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สามารถนำจำนวนเงินที่ซื้อไปหักลดหย่อนภาษีได้ เปิดโอกาสให้มนุษย์เงินเดือนมีทางเลือกในการวางแผนเพื่อความมั่งคั่งในอนาคตของตัวเอง ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าการออมเงินแบบทั่วไป ซึ่งนอกจากสิทธิลดหย่อนทางภาษีที่มนุษย์เงินเดือนจะได้รับแล้ว ยังมีสิทธิพิเศษอื่น ๆ ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อการออมเงินระยะยาว สำหรับมนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่ที่มีกองทุนเป็นเครื่องมือสะสมความมั่นคงให้กับชีวิต
กองทุน SSF คืออะไร ความรู้พื้นฐานที่มนุษย์เงินเดือนควรทราบ
กองทุน SSF คือ กองทุนรวมชนิดหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมเงินระยะยาว โดยนักลงทุนจะต้องลงทุนอย่างน้อย 10 ปี โดยที่ระหว่างการลงทุน นักลงทุนจะไม่สามารถนำเงินออกมาใช้ได้ เป็นการสร้างวินัยในการออม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเงินลงทุน โดยสิทธิพิเศษที่โดดเด่นของกองทุนรวมชนิดนี้คือ เรื่องของการลดหย่อนภาษี ที่ภาครัฐบาลให้การสนับสนุน ให้นักลงทุนที่ลงทุนกับกองทุน SSF สามารถนำเงินที่ซื้อหน่วยการลงทุนมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบปีต่อปีได้ โดยมีช่วงเวลารับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2563-2567 เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดความต้องการลงทุน และเห็นถึงความสำคัญของการออม เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ทำความเข้าใจเงื่อนไขหักลดหย่อนภาษีของกองทุน SSF คืออะไร
เชื่อว่ามนุษย์เงินเดือนหลายคนอาจจะมองว่า เงื่อนไขทางภาษีคือเรื่องยุ่งยากที่ไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่คุณทราบหรือไม่ว่า “ภาษี” คือ หน้าที่ของประชาชนทุกคนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขภาษีของกองทุน SSF คือเรื่องที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย และไม่มีความซับซ้อน อีกทั้งสิทธิประโยชน์ที่ได้รับยังตกเป็นของนักลงทุนเองด้วย
เริ่มต้นกันที่การลดหย่อนภาษี หมายถึง รายการใช้จ่ายที่กฎหมายมีการกำหนดเอาไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีเงินได้สามารถนำรายการที่กำหนดไปหักออกจากเงินได้ หลังจากที่มีการหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ทุกคนสามารถทำได้ โดยสูตรการคำนวณเงินได้สุทธิ คือ นำรายได้รวมต่อปี ไปหักกับค่าใช้จ่ายก่อน จากนั้นค่อยนำผลลัพธ์ไปหักกับค่าลดหย่อนภาษี หรือ “(รายได้รวมต่อปี – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ”
จากสูตรที่กล่าวมา สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากค่าลดหย่อนภาษีคือ หากคุณมีค่าลดหย่อนภาษีจำนวนมากเท่าไหร่ เงินได้สุทธิของคุณจะลดลงเท่านั้น ทำให้ภาษีที่คุณต้องจ่ายจะมีจำนวนน้อยลงนั่นเอง ส่วนเงื่อนไขทางภาษีของกองทุน SSF คือ
- สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี สูงสุดต้องไม่เกิน 200,000 บาท
- โดยเมื่อรวมกับประกันชีวิตแบบบำนาญ การออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
สิทธิพิเศษที่มนุษย์เงินเดือนจะได้รับเมื่อลงทุนกับกองทุน SSF คือ
สิทธิพิเศษที่ผู้มีรายได้ประจำจะได้รับจากกองทุน SSF นอกจากจะเป็นเรื่องการหักลดหย่อนภาษีที่ภาครัฐบาลให้การสนับสนุนแล้ว ยังสิทธิพิเศษที่เรียกว่าน่าสนใจไม่แพ้กันสำหรับกองทุน SSF คือ
- ไม่มีเงื่อนไขการซื้อต่อเนื่อง มนุษย์เงินเดือนสามารถซื้อกองทุน SSF ได้อย่างอิสระ โดยที่ไม่มีเงื่อนไขบังคับในการซื้อต่อเนื่อง สามารถเลือกลงทุนสะสมความมั่งคั่งได้ตามความเหมาะสมของตัวเอง โดยที่ไม่มีการบังคับซื้อทุกปี หรือบังคับซื้อเป็นช่วงเวลาที่กำหนด
- ลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภท กองทุน SSF คือ กองทุนรวมที่เปิดโอกาสให้สามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภท เช่น ตลาดเงิน, ตราสารหนี้ไทย, ตราสารหนี้ต่างประเทศ, หุ้นต่างประเทศ, หุ้นไทย, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์โภคภัณฑ์อื่น ๆ เป็นต้น โดยนักลงทุนสามารถเลือกประเภทสินทรัพย์ที่ต้องการได้จากนโยบายการลงทุนของกองทุนที่สนใจ ซึ่งรายละเอียดจะระบุเอาไว้ในหนังสือชี้ชวน
- ใช้เงินลงทุนไม่สูง มนุษย์เงินเดือนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนได้ โดยที่ใช้เงินเริ่มต้นไม่สูง เพราะส่วนใหญ่แล้วจำนวนเงินขั้นต่ำในการลงทุนจะเริ่มต้นที่ 500 บาท จากนั้นนักลงทุนจะลงทุนเพิ่ม แบบค่อย ๆ เพิ่มการลงทุนตามความเหมาะสมได้ตามต้องการ
- เลือกสลับกองทุนได้ อีกหนึ่งสิทธิพิเศษสำหรับการลงทุนในกองทุน SSF คือ นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ด้วยการสลับกองทุน เพื่อให้ตอบโจทย์กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา โดยเงื่อนไขการสลับกองทุนมีเพียงข้อเดียวคือ จะต้องสลับกับกองทุนประเภทเดียวกัน คือ เปลี่ยนจากกองทุน SSF ชนิดหนึ่ง ไปสู่กองทุน SSF อีกชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถสลับกับกองทุนที่ข้ามประเภทกันได้
สิทธิพิเศษจากกองทุน SSF คือตัวช่วยให้การวางแผนทางการเงินของมนุษย์เงินเดือนในแต่ละปีมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น นั่นคือการเริ่มต้นลงทุนกับกองทุนที่สนใจ เพื่อสะสมความมั่งคั่งที่ยั่งยืนให้แก่ชีวิต อีกทั้งนักลงทุนยังสามารถกำหนดแผนการใช้ชีวิตในอีก 10 ปีข้างหน้าได้อย่างมั่นใจว่า ทุกแผนการที่ได้จัดสรรไว้จะสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ